วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โครงสร้างโปรแกรมภาษา

โครงสร้างโปรแกรมภาษา
  (1.) โครงสร้างโปรแกรมภาษา  Pascal  
        Pascal  เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ชั้นสูงที่พัฒนาขึ้นโดย Niklaus Wirth และได้ตั้งชื่อว่าปาสคาล (Pascal) เพื่อให้เกียรติแก่นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Blaise Pascal ภาษาปาสคาล พัฒนามาจากภาษา Algol โดยพัฒนาให้เป็นภาษาสำหรับฝึกหัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภาษาปาสคาลจะมีลักษณะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์แบบประมวลความหรือคอมไพเลอร์ (Compiler) เมื่อเทียบกับภาษาคอมพิวเตอร์ชั้นสูงอื่น ๆ จะพบว่าภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่มีการวางระบบและจัดรูปแบบที่มีโครงสร้างแน่นอนตายตัว จึงทำให้ภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมโครงสร้าง (Structured Program)มากกว่าภาษาอื่น ๆ ที่ใช้กันอยู่จึงทำให้ได้รับความนิยมและนำมาประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย                                

(2)โครงสร้างของโปรแกรมภาษาซีแบ่งออกเป็น ส่วน
1. ส่วนหัวของโปรแกรม
ส่วน หัวของโปรแกรมนี้เรียกว่า Preprocessing Directive ใช้ระบุเพื่อบอกให้คอมไพเลอร์กระทำการ ใด ๆ ก่อนการแปลผลโปรแกรม ในที่นี่คำสั่ง #include <stdio.h> ใช้บอกกับคอมไพเลอร์ให้นำเฮดเดอร์ไฟล์ที่ระบุ คือ stdio.h เข้าร่วมในการแปลโปรแกรมด้วย โดยการกำหนด preprocessing directives นี้จะต้องขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย เสมอ

คำสั่งที่ใช้ระบุให้คอมไพเลอร์นำเฮดเดอร์ไฟล์เข้าร่วมในการแปลโปรแกรม สามารถเขียนได้ รูปแบบ คือ

- #include <ชื่อเฮดเดอร์ไฟล์คอมไพเลอร์จะทำการค้นหาเฮดเดอร์ไฟล์ที่ระบุจากไดเรกทอรีที่ใช้สำหรับเก็บเฮ ดเดอร์ไฟล์โดยเฉพาะ (ปกติคือไดเรกทอรีชื่อ include)

- #include “ชื่อเฮดเดอร์ไฟล์” คอมไพเลอร์จะทำการค้นหาเฮดเดอร์ไฟที่ระบุ จากไดเร็คทอรีเดียวกันกับไฟล์ source code นั้น แต้ถ้าไม่พบก็จะไปค้นหาไดเร็คทอรีที่ใช้เก็บเฮดเดอร์ไฟล์



2. ส่วนของฟังก์ชั่นหลัก

ฟังก์ชั่นหลักของภาษาซี คือ ฟังก์ชั่น main() ซึ่งโปรแกรมภาษาซีทุกโปรแกรมจะต้องมีฟังก์ชั่นนี้อยู่ในโปรแกรมเสมอ จะเห็นได้จากชื่อฟังก์ชั่นคือ main แปลว่า หลัก” ดังนั้น การเขียนโปรแกรมภาษซีจึงขาดฟังก์ชั่นนี้ไปไม่ได้ โดยขอบเขตของฟังก์ชั่นจะถูกกำหนดด้วยเครื่องหมาย และ กล่าวคือ การทำงานของฟังก์ชั่นจะเริ่มต้นที่เครื่องหมาย และจะสิ้นสุดที่เครื่องหมาย ฟังก์ชั่น main() สามารถเขียนในรูปแบบของ void main(void) ก็ได้ มีความหมายเหมือนกัน คือ หมายความว่า ฟังก์ชั่น main() จะไม่มีอาร์กิวเมนต์ (argument) คือไม่มีการรับค่าใด ๆ เข้ามาประมวลผลภายในฟังก์ชั่น และจะไม่มีการคืนค่าใด ๆ กลับออกไปจากฟังก์ชั่นด้วย

3. ส่วนรายละเอียดของโปรแกรม
เป็นส่วนของการเขียนคำสั่ง เพื่อให้โปรแกรมทำงานตามที่ได้ออกแบบไว้
คอมเมนต์ในภาษาซี
คอมเมนต์ (comment) คือส่วนที่เป็นหมายเหตุของโปรแกรม มีไว้เพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมใส่ข้อความอธิบายกำกับลงไปใน source code ซึ่งคอมไพเลอร์จะข้ามาการแปลผลในส่วนที่เป็นคอมเมนต์นี้ คอมเมนต์ในภาษาซีมี 2 แบบคือ
 คอมเมนต์แบบบรรทัดเดียว ใช้เครื่องหมาย //
 คอมเมนต์แบบหลายบรรทัด ใช้เครื่องหมาย /* และ */
  (3.) โครงสร้างโปรแกรมภาษา   Basic 
     Basic  เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming Language) ที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างระบบปฏิบัติการ Windows 95/98 และ Windows NT ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยตัวภาษาเองมีรากฐานมาจากภาษา Basic ซึ่งย่อมาจาก Beginner’s All Purpose Symbolic Instruction ถ้าแปลให้ได้ตามความหมายก็คือ ชุดคำสั่งหรือภาษาคอมพิวเตอร์สำหรับผู้เริ่มต้น”  ภาษา Basic  มีจุดเด่นคือผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องการเขียนโปรแกรมเลขก็สามารถเรียนรู้ และนำไปใช้งานได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์อื่นๆ เช่น ภาษาซี (C). ปาสคาส (Pascal). ฟอร์แทรน (Fortian) หรือ แอสเชมบลี (Assembler)

              ไมโครซอฟท์ที่ได้พัฒนาโปรแกรมภาษา Basic มานานนับสิบปี ตั้งแต่ภาษา MBASIC (Microsoft Basic). BASICA (Basic Advanced): GWBASIC และ QuickBasic ซึ่งได้ติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการMs DOS ในที่สุดโดยใช้ชื่อว่า QBASIC โดยแต่ละเวอร์ชันที่ออกมานั้นได้มีการพัฒนาและเพิ่มเติมคำสั่งต่างๆเข้าไป โดยตลอด ในอดีตโปรแกรมภาษาเหล่านี้ล้วนทำงานใน Text Mode คือเป็นตัวอักษรล้วนๆ ไม่มีภาพกราฟิกสวยงามแบบระบบ Windows อย่างในปัจจุบัน จนกระทั่งเมื่อระบบปฏิบัติการ Windows ได้รับความนิยมอย่างสูงและเข้ามาแทนที่ DOS ไมโครซอฟท์ก็เล็งเห็นว่าโปรแกรมภาษาใน Text Mode นั้นคงถึงกาลที่หมดสมัย จึงได้พัฒนาปรับปรุงโปรแกรมภาษา Basic ของตนออกมาใหม่เพื่อสนับสนุนการทำงานในระบบWindows ทำให้ Visual Basic ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น


                  Visual Basic เวอร์ชันแรกคือเวอร์ชัน 1.0 ออกสู่สายตาประชาชนตั้งแต่ปี 1991 โดย        ในช่วงแรกนั้นยังไม่มีความสามารถต่างจากภาษา GBASIC มากนัก แต่จะเน้นเรื่องเครื่องมือที่ช่วยในการเขียนโปรแกรมวินโดว์ซึ่งปรากฏว่า Visual Basic ได้รับความนิยมและประความสำเร็จเป็นอย่างดีไมโครซอฟท์จึงพัฒนา Visual Basic ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความสามารถ และเครื่องมือต่างๆเช่น เครื่องมือตรวจสอบแก้ไขโปรแกรม (debugger) สภาพแวดล้อมของการพัฒนาโปรแกรม การเขียนโปรแกรมแบบหลายวินโดว์ย่อย (MDI) และอื่นๆ อีกมากมาย

                 สำหรับ Visual Basic ในปัจจุบันคือ Visual Basic 2008  ซึ่งออกมาในปี 2008 ได้เพิ่มความสามารถ   ในการเขียนโปรแกรมติดต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล รวมทั้งปรับปรุงเครื่องมือและการเขียนโปรแกรมซึ่งวัตถุ (Object Oriented Programming) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือต่างๆอีกมากมายที่ทำให้ใช้งาย และสะดวกขึ้นกว่าเดิม โดยเราจะค่อยๆมาเรียนรู้ส่วนประกอบและเครื่องมือต่างๆอีกมากมายที่ทำให้ใช้ ง่ายและสะดวกขึ้นกว่าเดิม
         (4.) โครงสร้างโปรแกรมภาษา Assembly    
ภาษาแอสเซมบลี (อังกฤษ: Assembly Languageหมายถึง ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งซึ่งจะทำงานโดยขึ้นกับรุ่นของไมโครโพรเซสเซอร์ หรือ "หน่วยประมวลผล" (CPUของเครื่องคอมพิวเตอร์
การใช้ภาษาแอสเซมบลีจำเป็นต้องผ่านการแปลภาษาด้วยคอมไพเลอร์เฉพาะเรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (assemblerให้อยู่ในรูปของรหัสคำสั่งก่อน (เช่น .OBJ) โดยปกติ ภาษานี้ค่อนข้างมีความยุ่งยากในการใช้งาน และการเขียนโปรแกรมเป็นจำนวนบรรทัดมากมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ภาษาระดับสูง เช่น ภาษา C หรือภาษา BASIC แต่จะทำให้ได้ผลลัพธ์การทำงานของโปรแกรมเร็วกว่า และขนาดของตัวโปรแกรมมีขนาดเนื้อที่น้อยกว่าโปรแกรมที่สร้างจากภาษาอื่นมาก จึงนิยมใช้ภาษานี้เมื่อต้องการประหยัดเวลาทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรม
เนื่องจากตัวคำสั่งภายในภาษาอ้างอิงเฉพาะกับรุ่นของหน่วยประมวลผล ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปใช้กับหน่วยประมวลผลอื่นหรือระบบอื่น (เช่น หน่วยประมวลผล x86 ไม่เหมือนกับ z80จะต้องมีการปรับแก้ตัวคำสั่งภายในซึ่งบางครั้งอาจไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์

(5.)โครงสร้างโปรแกรม ภาษา Java (Java Structure)
1. เครื่องหมาย ในการควบคุม Structure
1.1 Comment คือข้อความที่แทรกเข้าไปในโปรแกรม แต่ไม่มีผลต่อการทำงานของโปรแกรม เช่นในกรณีที่เราต้องการอธิบาย Source code ไว้ใน โปรแกรม วิธีการคือ
- comment ทีละ บรรทัด ใช้เครื่องหมาย // ตามด้วยข้อความที่ต้องการ comment เช่น
//comment comment
- comment แบบครอบทั้งข้อความ ใช้เครื่องหมาย /* ข้อความที่ต้องการ comment */ เช่น
/*Comment  Comment */
1.2 Keyword คือคำที่ถูกกำหนดไว้ใช้เองแล้วในภาษา Java ไม่สามารถนำมาใช้ในการตั้งชื่อภายใน โปรแกรมได้ ตัวอย่างเช่น class,boolean,char เป็นต้น

1.3 Identifiers คือชื่อที่ผู้เขียนตั้งขึ้นมา เพื่อใช้แทนอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น method ,ตัวแปร หรือ classชื่อที่ถูกต้องควรประกอบด้วย ตัวอักษร ,ตัวเลข ,_,$ และจะต้องขึ้นต้นด้วย ตัวอักษรเท่านั้น

1.4 Separators คือ อักษร หรือ เครื่องหมายที่ใช้แบ่งแยกคำในภาษา มีดังต่อไปนี้
เครื่องหมาย () ใช้สำหรับ
1. ต่อท้ายชื่อ method ไว้ให้ใส่ parameter เช่น private void hello( );
2. ระบุเงื่อนไขของ if ,while,for ,do  เช่น if ( i=0 )
3. ระบุชื่อชนิดข้อมูลในการ ทำ casting  เช่น String a=( String )x;
เครื่องหมาย{ }ใช้สำหรับ

กำหนดขอบเขตของ method แล class เช่น class A{}
Private void hello(){} 
2. กำหนดค่าเริ่มต้นให้ กับตัวแปร Array เช่น String a[]={"A","B","C"};
เครื่องหมาย [ ] ใช้สำหรับ
1. กำหนดตัวแปรแบบ Array เช่น String a[ ];
2. กำหนดค่า index ของตัวแปร array เช่น a[ 0 ]=10;
เครื่องหมาย ใช้เพื่อปิดประโยค เช่น String a ;
เครื่องหมาย ใช้สำหรับ
1. แยกชื่อตัวแปรในประโยคเช่น String a , b , c;
เครื่อง หมาย . ใช้สำหรับ
1. แยกชื่อ package,subpackage และชื่อ class เช่น package com.test.Test1;
2. ใช้เพื่อเรียกใช้ ตัวแปร หรือ method ของ Object เช่น object.hello();
 (6.)โครงสร้างโปรแกรม ภาษา COBOL

 ภาษาโคบอล เป็นภาษาระดับสูงที่ออกแบบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 โดยสถาบันมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกากับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายแห่ง และได?มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากมาตรฐานของภาษาโคบอลในปี 1968 กำหนดโดย The American National Standard Institute และในปี 1974 ได?ออกมาตรฐานที่เรียกว่า ANSI - COBOL ต่อมาเป็น COBOL 85 ภาษาโคบอลเป็นภาษาที่ออกแบบให้ใช้?กับงานทางธุรกิจได?เป็นอย่างดี สำหรับการประมวลผลแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่การคำนวณทางธุรกิจเช่นการจัดเก็บ เรียกใช้และประมวลผลทางด้านบัญชี ตลอดจนทำงานด้านการควบคุมสินค้าคงคลัง การรับและจ่ายเงิน เป็นต้น
          คำสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับภาษาอังกฤษทำให้สามารถอ่านและเขียนโปรแกรม ได?ไม?ยากนัก ในยุคแรก ๆ ภาษา COBOL จะได?รับความนิยมบนเครื่องระดับเมนเฟรม แต่ปัจจุบันนี้จะ มีตัวแปลภาษา COBOL ที่ใช้บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย รวมทั้งมีภาษา COBOL ที่ได?รับการ ออกแบบตามแนวทางเชิงวัตถุ ( Object Oriented) เรียกว่า Visual COBOL ซึ่งจะช่วยให้การโปรแกรมสามารถทำได?ง่ายขึ้น และสามารถนำโปรแกรมที่เขียนไว้มาใช้ในการพัฒนางานอื่น ๆ อีก
          ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา COBOL
                    IF SALES-AMOUNT IS GREATER THAN SALES-QUOTA
                    COMPUTE COMMISSION = MAX-RATE * SALES - AMOUNT
                    ELSE
                    COMPUTE COMMISSION = MIN-RATE * SALES - AMOUNT

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระบบเลขฐาน





ข้อที่1  ตารางเลขฐาน


ข้อที่2 เลขฐานอื่นๆเป็นฐานสิบ
111100101=485
2fbc16   =12,220
2868     = 198

ข้อที่3  เลขฐานสิบเป็นฐานอื่นๆ
06=1102
06=68
06=616


วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใบงานที่ 9 โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และโครงสร้างของระบบปฏิบัติการ


ใบงานที่ 9
โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และโครงสร้างของระบบปฏิบัติการ

1.การขัดจังหวะ หรือการอินเตอร์รัปต์ หมายถึงอะไร จงอธิบาย

2.จงเปรียบเทียบการอินเตอร์รัปต์ กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
     =การติดต่อเพื่อรับส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ก็เหมือนกันกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน มนุษย์จะติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ติดต่อกันเพื่อทำการค้าขาย พูดคุยกัน อย่างนี้เป็นต้น

3.สาเหตุที่การป้องกันฮาร์ดแวร์ มีบทบาทสำคัญต่อระบบปฏิบัติการที่รองรับหลายๆ งาน อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร จงอธิบาย
=เพื่อป้องกันการเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลแบบผิด ๆ หรืออ้างอิงตำแหน่งในหน่วยความจำที่อยู่ในส่วนของระบบปฏิบัติการ หรือไม่คืน การควบคุมซีพียูให้ระบบซึ่งมีการกำหนดว่าคำสั่งเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลเป็นคำสั่งสงวน (Privileged Instruction) ผู้ใช้ไม่สามารถเรียกใช้อุปกรณ์เองได้ ต้องให้ระบบปฏิบัติการเป็นผู้จัดการให้

4.จงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโหมดการทำงานของผู้ใช้ กับโหมดการทำงานของระบบมาให้พอเข้าใจ
=ผู้ใช้ก็จะทำงานเหมือนกับคอมพิวเตอร์ เราจะรับข้อมูลจาก ตา หู จมูก ปาก แล้วก็สมองจะทำการประมวลผลสิ่งที่เราดู ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรส แล้วก็จะแสดงจากทางอาการหรือคำพูด ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลจากเมาส์ คีย์บอร์ด แล้ว CPU ก็ทำการประมวลผล จากนั้นก็แสดงผลในรูปของเสียงหรือภาพ

5.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันอินพุต และเอาท์พุตอย่างไร จงอธิบาย
     =กลไกในการอ้างอิงหน่วยความจำหลัก ป้องกันกระบวนการให้ใช้หน่วยความจำหลักได้แต่ในส่วนของกระบวนการนั้นเท่านั้น เช่น การไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ระบบทำการรับส่งข้อมูลเองโดยตรง เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้งานของอุปกรณ์รับส่งข้อมูล

6.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันหน่วยความจำอย่างไร จงอธิบาย
     =กลไกในการอ้างอิงหน่วยความจำหลัก ป้องกันกระบวนการให้ใช้หน่วยความจำหลักได้แต่ในส่วนของกระบวนการนั้นเท่านั้น

7.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันซีพียูอย่างไร จงอธิบาย
=ระบบต้องมีการป้องกัน ความผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการหนึ่งไปกระทบอีกกระบวนการหนึ่ง โดยสร้างกลไกบางอย่างเพื่อป้องกันแฟ้มข้อมูล, หน่วยความจำส่วนหนึ่งหรือหน่วยประมวลผลกลาง




8.โครงสร้างของระบบปฏิบัติการประกอบด้วยกี่ส่วน อะไรบ้าง
=ระบบปฏิบัติการประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. เคอร์เนล (Kernel) หมายถึง ส่วนกลางของระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนแรกที่ถูกเรียกมาใช้งาน และจะฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำหลักของระบบ ดังนั้นเคอร์เนลจึงต้องมีขนาดเล็ก โดยเคอร์เนลจะมีหน้าที่ในการติดต่อ และควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมใช้งาน (Application Programs)
2.โปรแกรมระบบ (System Programs) คือ ส่วนของโปรแกรมการทำงานของระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ และผู้จัดการระบบ เช่น Administrator

9.ในการจัดการกับโปรเซส ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=การจัดการงานที่เราจะทำการประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลแบบการแบ่งเวลา หรืออื่นๆ โดยแต่ละโปรเซสจะมีการกำหนดการใช้ทรัพยากรที่แน่นอน

10.ในการจัดการกับหน่วยความจำ ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=การจัดการหน่วยความจำจัดเป็นหน้าที่หนึ่งของระบบปฏิบัติการ หน่วยความจำนี้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพิจารณาขีดความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย  กล่าวคือถ้าหากคอมพิวเตอร์มีความจำมาก  นั้นหมายถึงขีดความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโปรแกรมที่มีสลับซับซ้อนและมีสมรรถนะสูง มักจะเป็นโปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำสูง แต่ก็เป็นที่ทราบแล้วว่าหน่วยความจำมีราคาแพง ดังนั้นระบบปฏิบัติการที่ดีจะต้องมีการจัดการหน่วยความจำที่มีอยู่จำกัด ให้สามารถรองรับงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมากได้

11.ในการจัดการกับแฟ้มข้อมูล ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=เป็นการทำงานของระบบปฏิบัติการโดยทำหน้าที่ในการโอนถ่ายข้อมูลลงไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

12.ในการจัดการกับอุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ในการรับข้อมูล และแสดงข้อมูลผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ โดยข้อมูลที่ส่งไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ จะผ่านสายส่งข้อมูล

13.ในการจัดการกับหน่วยความจำสำรอง เช่น ดิสก์ ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการทำหน้าที่โอนถ่ายข้อมูลไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

14.จงสรุปงานบริการของระบบปฏิบัติการมาพอเข้าใจ
=ระบบปฏิบัติการจะเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้งาน จะรับข้อมูลทางเมาส์หรือคีย์บอร์ด จากนั้นจะส่งไปยัง CPU เพื่อให้ประมวลผลออกมา แสดงผลจะอยู่ในรูปของเสียงหรือภาพ

15.ในการติดต่อระหว่างโปรเซสกับระบบปฏิบัติการ จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มงานใดบ้าง จงอธิบาย
=สถานะของโปรเซส (Process Status)ก็จะมี  สถานะเริ่มต้น (New Status) ,สถานะพร้อม (Ready Status) ,สถานะรัน (Running Status),สถานะรอ (Wait Status),สถานะบล็อก (Block Status)และสถานะสิ้นสุด (Terminate Status)

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไพล์ไหนใช้โปรแกรมอะไรเปิด



ไพล์ไหนใช้โปรแกรมอะไรเปิด

          เวลาที่เราไปดาวน์โหลดไฟล์มีเดียมาจากอินเทอร์เน็ต อาจต้องหัวเสียกับปัญหาเปิดไฟล์ไม่ได้ เพราะปัจจุบันนี้ไฟล์มีเดียถูกพัฒนาให้มีนามสกุลที่แตกต่างกัน กลายเป็นไฟล์คนละประเภทที่ไม่สามารถเปิดด้วยโปรแกรม Media Player พื้นฐานที่มากับ Windows ได้ ทีนี้ถ้าเราไม่มีความรู้ ไม่รู้จักนามสกุลแบบต่าง ๆ ของไฟล์ เราก็จะไม่รู้ว่าไฟล์ที่มีนามสกุลแบบนี้ ต้องเปิดด้วยโปรแกรมอะไร วันนี้เรามาทำความรู้จักกับไฟล์มีเดียนามสกุลต่าง ๆ กันดีกว่า คราวหน้าคราวหลังไปดาวน์โหลดไฟล์หรือรับไฟล์มาจากคนอื่นจะได้รู้ว่าจะจัดการเปิดมันได้อย่างไร
ไฟล์ AVI
เป็นไฟล์วิดีโอที่ดูผ่านคอมพิวเตอร์ โดยจะสามารถเปิดทั้งภาพและเสียงพร้อมกันได้ทันที ส่วนใหญ่จะนำมาเป็นต้นฉบับของไฟล์วิดีโอบนแผ่นดีวีดี โดยทั่วไปใช้โปรแกรม Windows Media Player เปิดก็ดูได้แล้ว แต่ที่มีปัญหาเล่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการ encode ของไฟล์นั้นว่าเป็น DivX codec หรือ XVID codec หรืออื่น ๆ ถ้าอยากรู้ว่าเครื่องมี codec อะไรอยู่ให้กด start/control panel/sound and audio devices/hardware/video codec/properties จากนั้นก็เข้าไปดาวน์โหลดไฟล์ codec จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์มาติดตั้งภายในเครื่องก็จะสามารถเปิดไฟล์ AVI ดูได้แล้ว
ไฟล์ DIVX
จะมีนามสกุลเป็น .avi หรือ .divx แต่ไฟล์ แต่มีข้อแตกต่างคือ .avi ไม่จำเป็นต้องเป็นไฟล์ DivX เสมอไป และไฟล์ DivX สามารถเล่นพร้อมกับเลือกแสดง Subtitle ได้หลายภาษา โดยปรับที่ Remote Control บนเครื่องเล่น DVD หรือ หากคุณใช้โปรแกรมเช่น Windows Media Player เล่นไฟล์ประเภทนี้ ท่านอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรม แสดง subtitle เพิ่มเติม เช่น โปรแกรม Direct Vobsub เพื่อให้ subtitle ปรากฏไปพร้อม ๆ กับการรับชมภาพยนตร์ด้วย
ไฟล์ XVID
เป็น Open Source ที่ถูกพัฒนาโดยนักพัฒนาอิสระทั่วโลก มีรูปแบบการบีบอัดบนพื้นฐานของ mp4 เหมือนกับ DivX จึงสามารถเล่นบนโปรแกรมหรือเครื่องเล่น DVD ที่สามารถเล่นไฟล์ MP4 หรือ DivX ได้เช่นกัน โดยที่เครื่องเล่นของคุณนั้นต้องสนับสนุนไฟล์ XviD ด้วย แต่ถ้าคุณต้องการเปิดไฟล์ XviD ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ คุณต้องเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์ XviD Decoder จากเว็บไซต์ทั่วไปมาติดตั้งเสียก่อน
ไฟล์ 3GP
เป็นไฟล์วิดีโอที่ต้องเปิดดูจากโทรศัพท์มือถือเท่านั้น  เพราะเป็นไฟล์ที่มีขนาดเล็กกว่าไฟล์วิดีโอทั่วไป ด้วยความที่ต้องถูกบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็กเพื่อใช้บนมือถือ คุณภาพของภาพจึงไม่คมชัดมากนัก แต่หากใครไปดาวน์โหลดไฟล์ 3gp จากอินเทอร์เน็ตแล้วจะมาเปิดดูในคอมพิวเตอร์ ขอบอกไว้ก่อนว่าโปรแกรมดูหนังทั่วไปไม่สามารถเปิดได้ ต้องใช้โปรแกรม Nokia Multimedia Player หรือไม่ก็ต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ตมาเปิดดู

ไฟล์ FLV
เป็นไฟล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบนเว็บไซต์ที่ให้บริการวิดีโอผ่านเว็บไซต์ ซึ่ง FLV คือไฟล์วิดีโอที่ถูกสร้างจากโปรแกรม Macromedia Flash เป็นไฟล์ที่มีขนาดเล็ก แต่คุณภาพดีกว่าไฟล์ 3gp สามารถเปิดดูได้จากโปรแกรม Flash Player หรือ QuickTime จากแอปเปิลก็ได้ ทำให้หลายเว็บนิยมแปลงไฟล์ให้เป็น FLV เพื่อง่ายต่อการชมผ่านเว็บไซต์
พอรู้ลักษณะของไฟล์แต่ละประเภทแล้วว่า ไฟล์แบบไหน ควรใช้โปรแกรมอะไรเปิด คราวหน้าถ้าดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอมาดู ก็จะไม่ต้องว้าวุ่นใจเพราะเปิดไฟล์ไม่ได้อีกต่อไป

การใช้และข้อควรระวังในการใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น


การใช้และข้อควรระวังในการใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น


การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น

(Microsoft Windows)

เนื้อหาจะเป็นการแนะนำ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ต่าง ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การจับเม้าส์ การกดปุ่มบนเม้าส์ ตลอดจนการเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา การปิดโปรแกรมต่าง ๆ เมื่อไม่ใช้งาน การแก้ไขเครื่องในกรณีเครื่องเกิดอาการ Hang การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง

การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์

1. ตรวจสอบปลั๊กเสียก่อนว่า เสียบเรียบร้อยดีหรือไม
2. ที่จอภาพ กดสวิทซ์ เพื่อเปิดจอภาพ
3. ที่ CPU. ด้านหน้า จะมีสวิทซ์ เพื่อเปิดเครื่อง (กดเบา ๆ )
4. เมื่อเปิดเครื่องแล้ว รอสักครู่ ที่จอภาพจะมีข้อความเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ
5. จากนั้น จะมีเสียง 1 ครั้ง
6. ที่หน้าจอภาพจะขึ้นคำว่า Windows เป็นการเริ่มต้นการใช้เครื่อง เพราะเครื่องจะต้องเรียกโปรแกรมควบคุมเครื่องที่ชื่อว่า Windows เสียก่อน (จะใช้เวลาประมาณ 3 นาที)
7. จากนั้นหน้าจอภาพจะมีโปรแกรมต่าง ๆ อยู่ด้านซ้าย และด้านล่างจะมีแถบ Task Bar ให้เราทำงานได้

การเลิกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์

1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start
2. เลื่อนมาคลิ๊กที่คำสั่ง Shut Down
3. คลิ๊กปุ่ม Ok
4. รอสักครู่เครื่องจะเริ่มทำการปิดระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์
5. จากนั้นเครื่องจะดับเอง
6. ยกเว้น จอภาพ ให้กดสวิทซ์ ปิดจอด้วย






ส่วนประกอบของหน้าจอภาพเมื่อเข้าสู่วินโดวส์เรียบร้อยแล้ว

1. ส่วนที่เป็นภาพฉากหลัง เราเรียกว่า ส่วนพื้นจอภาพ (Desk Top)
2.ด้านซ้ายของจอภาพ ส่วนที่เป็นรูปภาพ และมีคำบอกว่าเป็นโปรแกรมอะไร เรียกว่า (Icon) ลักษณะจะเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่วินโดวส์ จะนำมาไว้ที่จอภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ
3. ด้านล่างของจอภาพที่เป็นแถบสีเทา เราเรียกว่า (Task Bar) เป็นส่วนบอกสถานะต่าง ๆ โดยที่ด้านขวาของ ทาสบาร์ จะบอกเวลาปัจจุบัน สถานะของแป้นพิมพ์ว่า ภาษาไทย หรือ อังกฤษ โปรแกรมที่ถูกฝังตัวอยู่ ส่วนแถบตรงกลางจะใช้บอกว่า ขณะนี้เราเปิดโปรแกรมอะไรใช้งานอยู่บ้าง ด้านซ้ายของจอภาพ จะมีปุ่มStart ใช้ในการเริ่มเข้าสู่โปรแกรมต่าง ๆ

การกดปุ่มบนเม้าส์ (Mouse) เม้าส์ในปัจจุบันจะมี 2 ปุ่ม ซ้าย และขวา ส่วนถ้าเป็นแบบล่าสุด จะมีปุ่มคล้าย ๆ ล้ออยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการเลื่อน ขึ้น และ ลง บนหน้าจอภาพ (Scroll Bar) ในการกดปุ่มบนเม้าส์นั้น จะมีวิธีกดปุ่มบนเม้าส์อยู่ทั้งหมด 4 วิธีคือ

1. คลิ๊ก (Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ บนจอภาพ
2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก (Double Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 2 ครั้ง ติดกันอย่างเร็ว ใช้ในการเปิดโปรแกรมที่อยู่ด้านซ้ายของจอภาพ
3. แดร๊ก (Drag) คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ ใช้ในการย้ายสิ่งต่าง ๆ
4. คลิ๊กขวา (Right – Click) คือการใช้นิ้วกลาง กดปุ่ม ขวา ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเข้าเมนูลัดของโปรแกรม (Context Menu)

การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน เช่น ต้องการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข (Calculator)

1.  คลิ๊กที่ปุ่ม Start ตรงแถบทาสบาร์ด้านล่างซ้ายมือ
2.  เลื่อนเม้าส์เพื่อให้ลูกศรที่จอภาพ ชี้ที่คำว่า Program ตรงนี้ชี้ไว้เฉย ๆ ครับ ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
3.  เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปที่คำว่า Accessories ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
4.  เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนอีก แล้วเลื่อนลงมาที่คำว่า Calculator
5. จากนั้นจับเม้าส์ให้ นิ่ง ๆ คลิ๊กเม้าส์ 1 ที (คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง)
6. กรอบต่าง ๆ จะหายไป แล้วเครื่องจะเปิดหน้าต่าง เครื่องคิดเลขขึ้นมา ถือว่าเสร็จขึ้นตอนการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข ขึ้นมาใช้งาน ครับ




การปิดโปรแกรม เครื่องคิดเลข
1. ที่หน้าต่างเครื่องคิดเลข (Calculator) ตรงด้านบน ขวา มือจะมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม
2. ให้เลื่อนเม้าส์ ไปที่ปุ่มที่ 3 ทางขวามือ (ปุ่มจะเป็นรูป กากบาท X ) เมื่อเลื่อนเม้าส์ไปวางจะมีคำว่าClose
3. คลิ๊ก 1 ครั้ง เครื่องก็จะปิดหน้าต่างโปรแกรมเครื่องคิดเลขไป

การขยายหน้าต่างของโปรแกรมให้เต็มจอภาพ (Maximize)

1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊ก ปุ่มที่สอง เครื่องจะมีข้อความขึ้นมาว่า Maximize (แต่ถ้าหน้าต่าง ถูกขยายขึ้นมาอยู่แล้ว คำจะเปลี่ยนเป็น Restore ถ้าคลิ๊กลงไปจะกลายเป็นหน้าต่าง ขนาดปกติครับ)
2. จากนั้นเครื่องจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอ ส่วนใหญ่เราจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอเพื่อให้เห็นรายละเอียดในหน้าต่างมากขึ้นครับ

การลดขนาดหน้าต่างเป็น Icon ลงใน ทาสบาร์ หรือ การซ่อนหน้าต่าง (Minimize)

1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊กปุ่มที่เป็นขีด ลบ ถ้าเลื่อนเม้าส์ไปวางจะขึ้นคำว่า Minimize
2. คลิ๊กลงไป 1 ครั้ง เครื่องก็จะซ่อนหน้าต่าง ลงไปไว้ด้านล่างตรงทาสบาร์
3. ที่ทาสบาร์จะมีคำเป็นลักษณะปุ่มเขียนว่า ซ่อนโปรแกรมอะไรไว้
4. แต่ ถ้าอยากเรียกขึ้นมาใช้งานตามเดิม ให้คลิ๊กที่ปุ่มด้านล่างที่ทาสบาร์ที่เราซ่อนเอาไว้ เครื่องก็จะเปิดหน้าต่างโปรแกรมที่เราซ่อนเอาไว้ ขึ้นมาใช้งานได้ตามเดิม
การปิดโปรแกรมที่ทำให้เครื่องเกิดอาการแฮงค์ (Hang) อาการแฮงค์ คืออาการที่เราอาจจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาหลายโปรแกรม แล้วทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานไม่ทัน หรือเราอาจจะคลิ๊กเม้าส์หลายครั้ง ในขณะที่เครื่องกำลังประมวลผลอยู่ จนเครื่องทำงานไม่ทัน เลยเกิดอาการแฮงค์ ซึ่งอาการแฮงค์นี้จะทำให้เราไม่สามารถคลิ๊กอะไรที่จอภาพได้เลย วิธีการแก้ไขเบื้องต้นคือ
1. ที่แป้นพิมพ์ ให้เรากดปุ่ม Ctrl + Alt ค้างไว้ แล้วอีกมือหนึ่ง กดปุ่ม Delete แล้วปล่อย
2. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง Task Manager ขึ้นมา
3. จากนั้น เราคลิ๊กที่โปรแกรมที่เราคิดว่าทำให้เครื่องแฮงค์
4. ด้านล่าง คลิ๊กที่ปุ่ม End Task เครื่องจะปิดโปรแกรมนั้นทิ้งไป
5. ถ้าไม่มีการปิดโปรแกรมอื่นอีก ก็ให้เลือกปุ่ม Cancel ออกมา

ข้อควรระวังในการใช้คอมพิวเตอร์

1. ใช้เครื่องในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม 
2. มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 
3. ติดตั้งบนโต๊ะที่แข็งแรง
4. ควรต่อเครื่องคอมพิวเตอร์กับ UPS หรือ   STABILAZER หากกระแสไฟฟ้าไม่คงที่
5. ล้างหัวอ่าน-เขียนของ Disk Drive เป็นประจำ(ทุก 1 หรือ 2 เดือน)
6. ทำความสะอาดภายนอกตัวเครื่อง  ด้วยตนเอง ทุกๆ 1 เดือน
7. และส่งให้ช่างทำความสะอาดภายในตัวเครื่อง ทุกๆ 3 เดือน
8. ควรรู้จักโปรแกรมประเภท Utilities 
9. หรือ Diagnostic Test เพื่อทดสอบการทำงาน ของเครื่อง ทุกๆ เดือน
10. หลังจากการเลิกการใช้งานเครื่อง ควรหาผ้า มาคลุมเครื่องให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันฝุ่นละออง
11. อย่าปิด หรือ เปิดเครื่องบ่อยๆ   จะทำให้ สวิทช์ หรือเครื่องเสียหายได้ 
12. หรืออาจทำให้ Hard Disk เสียได้ควรตรวจสอบจุดต่อสายต่างๆ เช่น
- ปลั๊กไฟ
          - สายเครื่องพิมพ์
13. พิจารณาก่อน ว่าเครื่องเสียจาก Software หรือ Hardware 
14. ในกรณี Hardware มักมีข้อความ Error ปรากฏให้เห็น ให้จดไว้
15. กรณีที่มีเครื่องชนิดเดียวกันหลายๆ เครื่อง ให้ทดลองสลับเปลี่ยนกันดู
16.  พยายามทบทวนว่า ครั้งสุดท้าย ก่อนที่เครื่องจะเสีย เราได้ทำอะไรกับเครื่องไปบ้าง
17. ถ้าตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ มีควันขึ้น ให้รีบถอดปลั๊กไฟ แล้วส่งซ่อมทันที
18. บางทีเครื่องอาจจะ Hang ให้ทดลอง ปิดเครื่อง ทิ้งไว้ 10 วินาที  แล้วเปิดเครื่องใหม่อาจจะใช้ได้
19. ห้ามเคลื่อนย้ายตัวเครื่อง  ในขณะที่เครื่องกำลังทำงาน
20. ควรมีตารางเวลาสำหรับการสำรอง  ข้อมูลสำคัญๆ ทุกๆ 1 หรือ 2 สัปดาห์
21.  การถอดและเสียบสายคีย์บอร์ดและเมาส์    ให้สังเกตว่าด้านหัวเสียจะมีขายื่นออกไปหลายขา (อาจเรียกว่าหัวตัวผู้) และด้านช่องสำหรับเสียบก็มีรูเล็กหลายรู (อาจเรียกว่าหัวตัวเมีย)   ผู้ใช้ต้องหันขาทุกขาและรูทุกรูให้ตรงกัน ก่อนจะเสียบเข้าไปได้  ถ้าหากขาและรูเสียบไม่ตรงกันจะทำให้ขาหักต้องซื้อคีย์บอร์ดหรือเมาส์ใหม่สถานเดียว เพราะซ่อมไม่ได้
22.  การถอดและใส่ฮาร์ดดิสก์แบบ IDE ซึ่งมีขาและรูถึงประมาณ 20 คู่  ผู้ใช้ต้องเสียบให้ขาตรงรูทุกรู  เช่นเดียวกับข้อหนึ่ง   ถ้าเสียบไม่ตรงรู  อาจทำให้ขาหักต้องเสียค่าซ่อมไม่น้อยกว่า 300 บาทขึ้นไป 
23.  การเสียบปลั๊กไฟแบบ 2 ขา หรือ 3 ขา   ผู้ใช้ต้องสังเกตให้ดี  ว่ามีรูเสียบจำนวนพอดีกับจำนวนขาเสียบ   จะไปเอาปลั๊ก 3 ขา ไปเสียบรู 2 รู คงเป็นไปไม่ได้
24.การถอดแรมใส่แรม     ผู้ใช้ต้องรู้จักชนิดของแรมของตัวเอง  ว่า เป็นแรมแบบใด  เช่น  SD Ram  ,  DDR Ram  , DDRII Ram ,  แรมแต่ละชนิดมีร่องบากที่แถบทองแดงไม่เท่ากัน    และช่องเสียบแรม (Slot) ก็ไม่เหมือนกันด้วย   ผู้ใช้ไม่สามารถใช้แรมชนิดหนึ่ง  ไปเสียบช่องเสียบของแรมอีกชนิด  เพราะร่องบากไม่ตรงกัน
25.  การถอดและใส่ซีพียู    ผู้ใช้ต้องรู้จักวางมุมของซีพียูให้ถูกต้อง  จึงจะสามารถใส่ซีพียูลงในช่อง (Socket) ได้  และซีพียูต่างรุ่นกัน  ไม่สามารถเสียบช่องแบบเดียวกันได้  ผู้ใช้มือใหม่ไม่ควรเสี่ยง ถ้าทำไม่เป็น  เพราะถ้าขาซีพียูหัก หาช่างซ่อมยากหรือซ่อมไม่ได้   ต้องซื้อใหม่ราคาหลายพันบาท
26.  การใส่น็อดไม่ครบ ทำให้คอมเสียเร็ว    เช่น ผู้ใช้บางคนใส่น็อดฮาร์ดดิสก์ เพียง 2 ตัว  ทั้งที่ความจริงต้องใส่ 4 ตัว  เป็นสาเหตุให้ฮาร์ดดิสก์เกิดการเขย่าตัว  สั่นสะเทือน  ขณะที่ฮาร์ดดิสก์ทำงาน  ทำให้หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์พังเร็วขึ้นหรือเกิด Bad Sector (พื้นผิวฮาร์ดดิสก์เสีย)  ต้องซื้อใหม่ราคาหลายพันบาท  และบางทีอาจไม่สามารถกู้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ที่เสียคืนได้เลย
27.  ควรทำความสะอาดฝุ่นภายในเคสอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง   จะช่วยไม่ให้เกิดปัญหาเมนบอร์ดช็อต   ฝุ่นเกาะติดพัดลมมากจะทำให้ระบายความร้อนได้ไม่ดี   คอมพิวเตอร์มีโอกาสแฮงค์บ่อย
28.  ควรทำความสะอาดฝุ่นที่ติดหน้าจอคอมพิวเตอร์    เพราะถ้ามีฝุ่นมาก  จะทำให้มองภาพไม่ชัด   และอีกประการหนึ่งอาจเกิดประจุไฟฟ้า เมื่อเอามือไปจับหน้าจอ  ทำให้เกิดอาการคล้ายไฟฟ้าดูด
29.  ควรใช้ผ้าแห้งหรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ  เช็ดทำความสะอาดภายนอกตัวเคส  ภายนอกจอ   คีย์บอร์ด  เมาส์  เพื่อกำจัดฝุ่นที่ติดอยู่ออกไป  ให้อุปกรณ์สะอาดดูน่าใช้  ไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคทางลมหายใจ
30.  ไม่ควรครอบเคส และจอด้วยผ้าคลุมทันทีหลังปิดเครื่องคอมพิวเตอร์    ควรปล่อยให้ความร้อนภายในเครื่องระบายออกไปให้หมดก่อนจึงครอบ
31.  คีย์บอร์ดที่ตัวหนังสือลบเลือน อย่าเพิ่งทิ้ง  ควรไปซื้อสติกเกอร์ตัวหน้าสือและตัวเลขสำหรับมาติดคีย์บอร์ด (Keyboard Stickers)  ซึ่งมีขายตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 
32 .  ระวังไฟดูดในกรณีต่อไปนี้
 - ตัวเปียก  เท้าเปียก  ถ้าเอามือแตะเคสส่วนที่เป็นโลหะ  ไฟจะดูด
          - ยืนเท้าเปล่า หรือใส่ถุงเท้าบนพื้นปูน  ถ้าเอามือแตะเคสส่วนที่เป็นโลหะ  ไฟจะดูด  ต้องใส่รองเท้าที่ไม่เปียก เอามือแตะไฟจึงจะไม่ดูด
         - ถ้ายังเสียบสายไฟต่อกับจอ และเคส  อยู่  ไม่ควรเอามือแตะเมนบอร์ด  แรม   การ์ดต่างๆ  หรืออุปกรณ์ต่อเชื่อมกับเมนบอร์ดที่อยู่ในเคส ไฟจะดูด
          - USB Hub  บางยี่ห้อ  เมื่อเอาสายเสียบต่อจากเคส  จะมีไฟรั่วมาที่ตัว Hub ด้วย   ถ้าตัวเปียก หรือยืนเท้าเปล่าบนพื้นปูน  แล้วเอามือไปแตะ  ไฟจะดูด